This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สมุนไพร บำรุงตับ

สมุนไพร บำรุงตับ

สมุนไพรบำรุงตับหลักๆ ได้แก่ เห็ดหลินจือ ขมิ้นชัน อาร์ติโชค ลูกใต้ใบ สมุนไพรเหล่านี้ ใช้ในการรักษาโรคตับ, ต้านพิษป้องกันตับ, ต้านไวรัสตับ, บำรุงตับ, กระตุ้นการทำงานของตับให้ดีขึ้น

เห็ดหลินจือ มีคุณสมบัติที่ช่วยรักษาโรคตับแข็งได้ เพราะ 
  • เห็ดหลินจือช่วยทำให้ใยแผลเป็นที่ตับคลายตัว ไม่รัดเส้นเลือดและเนื้อเยื่อที่ตับ 
  • เห็ดหลินจือช่วยบำรุงตับ ฟื้นฟูการทำงานของตับ กระตุ้นการเกิดเซลล์ใหม่แทนเซลล์ที่ตายไป 
  • เห็ดหลินจือช่วยปรับภูมิคุ้มกันไม่ให้ทำงานผิดเพี้ยนและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง 
  • เห็ดหลินจือเป็นแอนติอ็อกซิแดนต์ที่ดี สามารถขจัด อนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งได้


ผลทางเภสัชวิทยาของเห็ดหลินจือ ในเรื่องของโรคตับและพบว่าภายในเห็ดหลินจือมีสารสำคัญทางยาที่ใช้รักษาโรคตับ คือ

  • สารโพลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharides) ในเห็ดหลืนจือมีสรรพคุณทางยา ปรับปรุงการทำงานของตับ ปกป้องตับจากสารพิษ (Hepatoprotective activity) โดยแสดงฤทธิ์ยับยั้งสารพิษ เช่น คาร์บอนเตตราคลอไรด์ โดยไม่ให้ทำลายเซลล์ตับ รวมถึงช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำงานดีขึ้น

  • กลุ่มสารไตรเทอร์ปินนอยด์  (Bitter Triterpenoids) ในเห็ดหลินจือมีฤทธิ์ในการปกป้อง บำรุงและรักษาโรคตับ ประกอบด้วย กรดกาโนเดอริค (Ganoderic acid) และกรดลูซิเดนิค (Lucidenic acid) พบว่ามีฤทธิ์ต่อต้านสารพิษที่มีต่อตับ (Antihepatotoxie) และยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในตับ (Cytotoxicty on hepatoma cells) ได้ กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว

  • โปรตีน Lz-8 ในเห็ดหลินจือช่วยปรับระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานเป็นปกติไม่ผิดเพี้ยน และช่วยรักษาโรคไวรัสตับบี

  • สารเยอร์มาเนียม (Germanium) ในเห็ดหลินจือช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยรักษามะเร็งตับได้


พริกไทย ผักบุ้ง และขมิ้นชัน


สถาบันวิทยาศาสตร์และทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ฝ่ายเภสัชกรรมและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมชนิดเม็ด ที่ได้จากสารสกัดจากพริกไทย ผักบุ้ง และขมิ้นชัน ที่มีฤทธิ์เสริมกันมาผสมในอัตรส่วนที่เหมาะสม พร้อมกับทดสอบฤทธิ์ในการป้องกันการถูกทำลายของตับจากสารเคมี กระตุ้นการสร้างเซลล์ตับและเพิ่มการหลั่งน้ำดีของตับ

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสมุนไพรไทยป้องกันโรคตับของสถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย มี 2 ชนิด ได้แก่

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Livetal-D เป็นสารสกัดหยาบของสมุนไพรออกฤทธิ์ที่บำรุงและป้องกันพิษจากสารเคมี หรือเชื้อไวรัส เช่น ผู้ป่วยโรคตับอักเสบ ดีซ๋าน
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Livetal เป็นสารสกัดหยาบของสมุนไพรออกฤทธิ์ในการบำรุงและป้องกัน การทำลายเซลล์ตับจากแอลกฮอล์

ผลการทดสอบความปลอดภัยเบื้องต้นของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั้งสองชนิด พบว่ามีความปลอดภัยสูง (LD50 มากกว่า 5,000 มิลลิกรัม/กิโลกรัม)

อาร์ติโชค
ช่วยบำรุงตับ กระตุ้นการทำงานของตับ เสริมสร้างการทำงานของถุงน้ำดี ช่วยป้องกันตับอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคดีซ๋าน และโรคตับแข็ง



ลูกใต้ใบ

มีสรรพคุณคือสารมารถลดไข้  จากการศึกษาพบว่าสารสำคัญของลูกใต้ใบคือ โพแทสเซียม ไฟลแลนทีน และไฮโปไฟลแลนทีน ซึ่งให้รสขม ในปัจจุบันได้มีการค้นพบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาว่า มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อไวรัส ทั้งช่วยยับยั้งความเป็นพิษต่อตับ
ต้านไวรัสตับอักเสบบี ยับยั้งเอนไซม์ Reversse transcriptase ของ HIV-1 ต้านการอักเสบ กำจัดพิษ ต้านมะเร็งตับ ลดไข้ ขับปัสสาวะ
ลดน้ำตาลในเลือด


อ้างอิง alternativecomplete.com




วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2558

8 สาเหตุหลักของการเป็นตับแข็ง

ตับแข็งเป็นสภาวะตับที่เกิดเป็นแผลเป็น หลังจากมีการอักเสบหรืออันตรายต่อเนื้อตับ เมื่อเนื้อตับที่ดีถูกทำลายจากสาเหตุต่างๆ เนื้อตับที่เหลือจะล้อมรอบและทดแทนด้วยเนื้อเยื่อประเภทพังผืด เป็นผลให้เลือดที่ไหลผ่านตับเกิดการอุดตัน ไหลไม่สะดวก และการทำงานของตับจะลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากเนี้อที่ดีของตับลดน้อยลง โรคตับแข็งเป็นสาหตุการตายเป็นอันดับที่ 8  

สาเหตุของโรคตับแข็ง มีสาเหตุมากมายซึ่งโดยสาเหตุนั้นๆ จะต้องทำให้ตับมีการอักเสบเรื้อรังนานๆ เป็นปี จนทำให้เนื้อตับตายลง เกิดเป็นแผลเป็น มีเนื้อเยื่อพังผืดแข็งแทรกในตับ สาเหตุหลักๆ ที่พบในประเทศไทย คือ การดื่มสุราเรื้อรัง และการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และ ซี เรื้อรังรวมถึงยาและสมุนไพรบางประเภท


8 สาเหตุหลักของการเป็นตับแข็ง

สุรา เมื่อกล่าวถึงโรคตับแข็ง คนทั่วไปมันจะนึกถึงสาเหตุจากการติดสุราเรื้อรัง โรคตับแข็งที่เกิดจากสุรามักเกิดขึ้นหลังดื่มสุราปริมาณมากติดต่อกันเป็นเวลาหลายๆ ปี โรคตับแข็งแปรผันไปตามบุคคลและเพศ
สตรีมักเกิดโรคตับแข็งน้อยกว่าบุรุษในปริมาณการดื่มสุราที่เท่าๆกัน แอลกฮอล์ในสุราจะทำให้เกิดความผิดปกติของการใช้โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตในตับ ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบขึ้น และเมื่อเกิดภาวะตับอักเสบเป็นนานๆ ก็จะทำให้เกิดภาวะตับแข็ง  

มีผู้ประเมินไว้ว่า การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์มากกว่า 160 กรัมต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลานาน 5-10 ปี จะทำให้เกิดภาวะโรคตับแข็งได้ง่าย หรือเปรียบเทียบได้กับการดื่มวิสกี้ 480cc ต่อวัน หรือไวน์ 1,600cc ต่อวัน หรือเบียร์ 4,000cc ต่อวันนั่นเอง

ไวรัสตับอักเสบ ไวรัสตับอักเสบบี ซี และ ดี เป็นสาเหตุที่ทำให้ตับอักเสบเรื้อรัง ไวรัสตับอักเสบบี และ ซี พบมากในประเทศไทย 

ยา สารพิษ และพยาธิบางชนิด ยาบางชนิดต้องใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรังกลายเป็นตับแข็งได้ ยาสมุนไพรบางชนิด เช่นยาเม็ดใบขี้เหล็ก ซึ่งนิยมให้เป็นยานอนหลับ ถ้ากินขนาดสูงติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ก็จะทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรังได้ สารพิษบางประเภท เช่นสารหนู ก็ทำให้เกิดพังผืดในตับได้ รวมทั้งพยาธิบางชนิด เช่น พยาธิ Schistosome ซึ่งอาศัยในเส้นเลือดก็กระตุ้นให้เกิดตับแข็งได้

ภาวะดีซ่านเรื้อรังจากท่อน้ำดีอุดตัน ปกติแล้วน้ำดีถูกสร้างขึ้นที่ตับ และไหลลงมาสู่ลำไส้เล็กส่วนต้น โดยไหลมาตามท่อน้ำดี ถ้ามีการอุดกั้นการไหลของน้ำดีบริเวณท่อน้ำดีจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม เช่น จากนิ่วน้ำดีอุดตันท่อน้ำดี หรือ เนื้องอกอุดหรือเบียดท่อน้ำดี จนตีบตันเป็นเวลานาน น้ำดีที่ไหลย้อนกลับไปที่ตับก็สามารถทำลายเนื้อตับจนเป็นตับแข็งได้ 

ภาวะหัวใจวายเรื้อรัง ซึ่งทำให้มีเลือดคั่งที่ตับ เลือดไหลเวียนในตับลดลง เนื้อตับเกิดภาวะการขาดออกซิเจนตายลง

โรคกรรมพันธุ์บางชนิด เช่น โรควิสสันมีการสะสมของทองแดงมากในตับ ทำให้เนื้อตับอักเสบ และตายจนเกิดตับแข็ง  ตัวอย่างของโรคอื่นๆ เช่น Hemochromatosis มีการสะสมของเหล็กมากในตับ Glycogen storage disease มีความบกพร่องของการใช้คาร์โบไฮเตรตบางประเภท

โรคตับอักเสบจากการต่อต้านภูมิตัวเอง เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันหันมาทำลายตับตนเอง พบได้มากในชาวยุโรป แต่ในประเทศไทยพบน้อย

โรคตับอักเสบจากไขมัน ภาวะที่มีการสะสมไขมันที่ตับเป็นจำนวนมาก อาจจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเรื้อรังจนกลายเป็นตับแข็งได้ ภาวะตับที่มีไขมันมากนี้อาจพบร่วมกับโรคบางโรคได้ เช่น เบาหวาน ทุโภชนาการ อ้วนกว่าปกติ และการใช้ยาบางชนิด เช่น steroid เป็นเวลานานๆ 

อ้างอิง thailiverfoundation.org

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ปัจจัยเสี่ยง ตับพัง


ปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่เริ่มหันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น เช่น การออกกำลังกาย ทานอาหารคลีน ทานอาหารเสริมต่างๆ ซึ่งในบรรดาการดูแลสุขภาพเหล่านั้นเป็นผลดีต่อตับในระดับหนึ่ง 

เมื่อตับผิดปกติ หากเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตับสามารถที่จะฟื้นฟูตัวเองได้  แต่ถ้าหากตับต้องเผชิญกับปัจจัยที่เป็นอันตรายต่อตับอยู่ทุกวัน ก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายและส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม เช่น การเจ็บป่วยระยะยาว ไขมันแทรกในตับ ไขมันสะสมในตับ ตับอักเสบ ตับแข็ง และมะเร็งตับ

5 ปัจจัยเสี่ยงตับพัง

อาหารและน้ำดื่ม ควรจะสะอาดเพื่อป้องกันไวรัสตับอักเสบA ซึ่งเกิดจากการทานอาหารต่างๆ เช่น ผักสด ผลไม้ น้ำดื่ม ที่ปนเปื้อน หรืออาหารไม่สุก ไม่สะอาด เป็นต้น การบำรุงตับไม่จำเป็นต้องเลือกอาหารทานเป็นพิเศษ แค่รับประทานให้ครบ 5 หมู่อย่างเหมาะสม และหลีกเหลี่ยงอาหารที่มีผลเสียต่อตับ เช่น อาหารที่ปนเปื้อนเชื้ออะฟลาท็อกซิน สารพิษที่เกิดจากเชื้อรา โดยสามารถเจอได้ในมล็ดธัญพืช โดยเฉพาะในถั่วเมล็ดแห้ง และเมล็ดพืชน้ำมันชนิดต่างๆ พริกแห้ง ฯลฯ  ควรงดกินปลาดิบ เพื่อป้องกันพยาธิใบไม้ในตับ ส่วนผู้ที่มีอาการตับอักเสบหรือตับแข็งในระยะเริ่มต้น จำเป็นต้องได้รับสารอาหารให้ครบทุกหมูู่อย่างเพียงพอ เพื่อช่วยให้ตับสามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วและพบแพทย์ ห้ามผู้ป่วยซื้อยาทานเองเป็นอันขาด

เลือดและการมีเพศสัมพันธ์ ในประเทศไทยพบว่าประมาณร้อยละ 5 เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบี โดยเฉพาะจากเลือดและการมีเพศสัมพันธ์ เช่น การใช้แปรงสีฟัน กรรไกรตับเล็บ การใช้มีดโกนร่วมกับผู้อื่น หรือการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบอยู่แล้ว ก็อาจทำให้คุณติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือ ซี ก็ได้ เมื่อติดเชื้อแล้วอาจทำให้เป็นตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับในที่สุด ทั้งนี้โอกาสผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อนี้มีจะเสี่ยงต่อมะเร็งตับสูงกว่าคนทั่วไปถึง 223 เท่า

ยา การทานยาหรืออาหารเสริมต่างๆ มีผลข้างเคียงต่อตับได้ เนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่มีหน้าที่ในการกำจัดของเสียหรือยาต่างๆ ออกจากร่างกาย ดังนั้นการได้รับยาบางชนิดติดต่อกันเป็นเวลานานๆจะรบกวนการทำงานของตับหรืออาจจะเป็นการทำร้ายตับ เนื่องจากตับไม่สามารถจะกำจัดสิ่งตกค้างจากยาเหล่านี้ได้ทัน เหลือเป็นส่วนเกินและมีฤทธิ์ทำลายเนื้อตับ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อตับจนเกิดภาวะตับวาย ในปัจจุบันยาที่เป็นอันตรายต่อตับแต่เรามักมองข้าม เช่น "พาราเซตามอล" คนที่ไวต่อยาพาราเซตามอล หากทานเกิน 2 กรัมขึ้นไป อาจจะทำให้เกิดตับอักเสบได้ นอกจากนี้ยังมี ยาแก้ปวด 
ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้แพ้ ยาแก้หวัด และยาปฎิชีวนะ ยาลูกกลอนหรือยาสมุนไพรต่างๆที่ไม่ได้มาตรฐาน  ดังนั้นจึงไม่ควรทานยาเหล่านี้เป็นเวลาต่อเนื่องนานๆ 

เครื่องดื่มแอลกฮอล์ แอลกฮอล์จะทำให้เกิดความผิดปกติของการใช้โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตในตับ ในระยะแรกจะทำให้เกิดการสะสมของไขมันในตับ ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดงออกมาให้เห็นแต่เมื่อดื่มแอลกฮอล์นานเข้าจะทำให้เกิดภาวะตับอักเสบตามมา และเรื้อรังจนเป็นตับแข็ง และมะเร็งตับจนเสียชีวิต หากผู้ที่ดื่มมานานแล้วมีโรคไวรัสตักอักเสบบี หรือ ซี ร่วมอยู่ด้วยจะทำให้เกิดอันตรายต่อตับอีกหลายเท่า ดังนั้นการเกิดตับแข็งหรือมะเร็งตับจะเกิดได้ง่ายขึ้น
แนวทางสำคัญในการป้องกันคืองดดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอล์ ควรเริ่มโดยการลดปริมาณการดื่ม และไม่ดื่มเป็นประจำ หันมาทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และหากโรคตับอักเสบมีสาเหตุมาจากแอลกฮอล์ ดังนั้นคุุณจำเป็นต้องทานอาหารให้ครบทุกหมู่ เพื่อให้สุขภาพฟื้นฟูได้เร็วขึ้น

สารพิษ การได้รับสารพิษเป็นประจำและต่อเนื่องจะทำให้เกิดอันตรายต่อตับได้เช่นกัน เช่น สารหนู(arsenic) ที่พบปนเปื้อนในยาหอม ปลาหมึกแห้ง รวมทั้งในอาหารต่างๆ และสิ่งแวดล้อม หากร่างกายรับเข้าไปมากจะไปสะสมที่ตับและทำลายระบบการทำงานของตับ ทำให้ตับทำงานหนักและเกิดการอักเสบตามมาในที่สุด  แนวทางป้องกันจึงควรลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่จะทำให้เราได้รับสารพิษ รวมทั้งหลีกเหลี่ยงการทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงต่อเนื่องในปริมาณมาก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการกระตุ้นให้มีไขมันแทรกในตับ และควรตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบ 


วิธีพื้นฐานของการดูแลตับที่สำคัญ

  • ลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกฮอล์
  • ทานอาหารที่สะอาด
  • มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ไม่สำส่อน
  • ไม่ใช้ของมีคมร่วมกับผู้อื่น 
  • ทานยาที่ได้มาตรฐานเมื่อจำเป็นเท่านั้น
  • หลีกเลี่ยงสารเคมี
  • ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ
  • ตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี

อ้างอิง หน้าพิเศษ Hospital Healthcare นสพ.มติชน

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ตับสำคัญอย่างไรต่อสุขภาพ

ตับอยู่ตรงไหนในร่างกายของเรา

ตับเป็นอวัยวะที่หนักที่สุดในร่างกายของเรา ประมาณกิโลกว่าตามแต่ขนาดร่างกายของเรา หากมองจากด้านหน้าลักษณะของตับจะเป็นสามเหลี่ยม หากมองจากหน้าท้องของตัวเองให้เอาฝ่ามือขวาวางตรงชายโครงและหน้าท้องซีกขวาทางด้านหน้า เอาปลายนิ้วกลางไว้ตรงลิ้นปี่ตรงแถวนั้นลึกลงไปในช่องท้องใต้ฝ่ามือ บริเวณนั้นเป็นที่อยู่ของตับ หากหมอจะเจาะตับ จะเจาะผ่านผิวหนังเข้าทางช่องระหว่างชายโครงขวาทางด้านข้างลำตัว
หน้าที่หลักของตับ

1) นำสารอาหารที่ย่อยแล้วจากทางเดินอาหาร เช่น คาร์โบไฮเดรต(แป้งและน้ำตาล) ไขมัน โปรตีน วิตามิน ยา นำมาปรับเปลี่ยนให้เป็นสารอาหารที่เหมาะกับการใช้ในส่วนต่างๆ ของร่างกาย
เช่น การสร้างโปรตีนอัลบูมิน(โปรตีนไข่ขาว) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยการแข็งตัวของเลือด ไขมันในเลือดชนิดต่างๆ เป็นต้น วิตามิน อาหารเสริม ยาต่างๆ บางครั้งตับก็เลือก ไม่ถูกว่าอะไรมีประโยชน์ ปรับเปลี่ยนเป็น

2) สะสมสารอาหารต่างๆ ไว้ใช้เมื่อร่างกายต้องการ เช่น เก็บน้ำตาลกลูโคสในรูปของไกลโคเจนสะสมไว้ในตับ เมื่อร่างกายต้องการพลังงานก็จะเปลี่ยนไกลโคเจนเป็นกลูโคสส่งไปที่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ผู้ป่วยที่ตับอักเสบขั้นรุนแรงจะมีน้ำตาลในเลือดต่ำ 

3) ขับถ่ายของเสียในรูปของน้ำดีออกมาทางท่อน้ำดี แล้วลงไปออกที่ลำไส้เล็กส่วนต้น น้ำดีนอกจากจะเป็นของเสียที่ร่างกายขับออกมาแล้ว ยังมีน้ำที่เป็นของดีปนอยู่ด้วย เพราะว่าน้ำดีใช้ในการย่อยอาหารประเภทไขมัน ซึ่งช่วยดูดซับวิตามินที่ต้องใช้ไขมันร่วมด้วย นั่นคือ วิตามิน A,D,E และ K คนที่ท่อน้ำดีอุดตันจะมีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง คันผิวหนัง เพราะมีของเสียสีเหลืองคั่งใต้ผิวหนัง หากท่อน้ำดีอุดตันสะสมนานๆ อุจจาระจะสีซีด ท้องเสียเวลากินของมัน การขาดวิตามินที่เห็นชัดและเร็ว คือการขาดวิตามินเค เลือดจะแข็งตัวไม่ดี 

ดังนั้นจึงควรถนอมตับให้ดี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยืนยาว

อ้างอิง  thaihealth.or.th




วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558

หน้าที่ของตับ คืออะไร


ตับ (liver) เป็นอวัยวะที่ส่่วนใหญ่พบในสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง ส่วนในร่างกายมนุษย์ ตับจะอยู่ในช่องท้องซีกขวาด้านบนใต้กระบังลม 

ตับมีหน้าที่หลายอย่าง ที่ชัดเจนที่สุดคือการกำจัดพิษในเมแทบอไทล์ (metabolites) การสังเคราะห์โปรตีนและการผลิตสารชีวเคมีต่างๆ ที่จำเป็นในกระการบวนการย่อยอาหาร ถ้าตับล้มเหลว การฟอกตับอาจช่วยได้ในระยะสั้น ไม่สามารถทดแทนได้ในระยะยาว

ลักษณะทางกายวิภาคศาสตร์ ตับของผู้ใหญ่จะมีน้ำหนักราว 1.3 ถึง 3.0 กิโลกรัม มีลักษณะนุ่ม มีสีชมพูอมน้ำตาล ตับเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดเป็นอันดับสอง รองจาากผิวหนัง และเป็นต่อมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย 

หน้าที่ต่างๆ ของตับจะอาศัยการทำงานของเซลล์ตับ ซึ่งมีหน้าที่ต่างๆ ดังนี้
ผลิตน้ำดี ซึ่งจัดเป็นหน้าที่หลักของเซลล์ตับ

ควบคุมเมแทบอลิซึมของสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดตร ได้แก่
  •  การสังเคราะห์น้ำตาลกลูโคลจากกรดอะมิโน กรดแลคติค หรือกลีเซอรอล
  •  การสลายโมเลกุลของไกลโคเจน เพื่อผลิตน้ำตาลกลูโคสออกสู่กระแสเลือด
  •  การสร้างไกลโคเจนจากน้ำตาลกลูโคส

ควบคุมเมแทบอลิซึมของไขมัน โดยเฉพาะการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ผลิตสารที่เป็นปัจจัยการแข็งตัวของเลือด

แปรรูปโมเลกุลของฮีโมโกลบินที่ได้จากการทำลายเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุจากม้าม เพื่อสร้างเป็นรงควัตุน้ำดี เช่น บิลิรูบิน และ บิลิเวอดิน

แปรสภาพสารพิษและยาต่างๆ ให้อยู่ในรูปที่ร่างกายสามารถขับถ่ายออกไปได้ กระบวนการนี้เรียกว่า    เมแทบอลิซึมของยา

เปลี่ยนแอมโมเนียที่เกิดจากการสลายโปรตีนให้เป็นยูเรีย เพื่อนำออกทางปัสสาวะ

เก็บสะสมไวตามินและแร่ธาตุ เช่น ไวตามิน B12 เหล็ก และ ทองแดง

ในระยะตัวอ่อนช่วงสามเดือนแรก ตับเป็นแหล่งสำหรับการผลิตเม็ดเลือดแดงที่สำคัญ จนกว่าจะถึงสัปดาห์ที่ 32 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งการผลิตเม็ดเลือดจะอยู่ในไขกระดูก

อ้างอิง : wikipedia.org